แม้ว่าในปัจจุบันเราจะอยู่ในยุคที่เชื่อกันว่าเป็นยุค 4.0 ผู้คนมีความรู้และสามารถเข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ ด้วยหลักการวิทยาศาสตร์ได้แล้วก็ตาม แต่ด้วยพื้นฐานความเชื่อที่ฝั่งแน่นมาช้านาน ก็ยากแก่การอธิบายถึงเหตุการณ์ที่ 13 คนหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน ทั้งนี้จากวันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561 จนถึง ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 ก็ยังหาไม่เจอ แม้ว่าจะใช้หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญหรือเทคโนโลยีเข้าช่วยอย่างเต็มพิกัดก็ตาม จึงทำให้สถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวถูกตอกย้ำความคิดของชาวบ้านที่ยังคงดำรงอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทยได้ยากต่อการอธิบาย เกี่ยวความเชื่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องผีบังตาหรือเจ้าป่าเจ้าเขาเอาซ่อนหรือเจ้าแม่ดอยนางนอนต้องการคน เป็นต้น ดังนั้น เมื่อความเชื่อนี้ยังดำรงอยู่เพราะความไม่รู้ ความไม่ชัดเจน ความคลุมเครือที่ครอบงำจิตใจผู้คนโดยเฉพาะผู้ปกครองและญาติของเด็กๆ ที่หายตัวไป เช่น ไม่รู้ว่าเด็กอยู่ที่ไหน ไม่รู้จะหาเด็กเจอไหม เด็กจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร พิธีกรรมการเซ่นสรวงบูชาเพื่อกราบไหว้อ้อนวอนต่อสิ่งเหนือธรรมชาติที่คอยดูแลรักษาขุนเขาเหล่าถ้ำทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นสิ่งทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปทั้งมวล ตำนาน อาถรรพ์และสิ่งเร้นลับที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะยุคสมัยใด ย่อมเกิดจากพื้นฐานความเชื่อในแง่ของการตอบสนองในเชิงจิตวิทยา อย่าได้มองประโยชน์ในเชิงรูปธรรมหรือผลที่จะได้รับ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเกิดจากกรรม(การกระทำ) ของตัวเราทั้งสิ้น